วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552
วิวัฒนาการของการจัดการ data (Data Management Evolution)
--------2. Database and Database management System Database คือ ที่เก็บ DBMS คือ ซอฟแวร์ที่เข้ามา manage การเก็บ และจัดการการเรียกคืนการใช้งาน เพื่อให้ application ที่ 1 กับ 2 ใช้ข้อมูลร่วมกันได้เสมือนหนึ่งเป็นคนเดียว ไม่มีคนอื่น วันนี้การเจริญเติบโตของ application ทำให้ระบบบัญชี อีก database หนึ่ง finance อีก database หนึ่ง ปัญหาที่เกิดขึ้น integrated การมี database มีหลายอย่างที่ทำงาน ระบบ security ดีกว่าที่เป็น file management แต่สิ่งที่ตามมาคือความต้องการในสิ่งที่เป็นภาพรวม ภาพบูรณาการ เกิดปัญหาเดิม data independent data redundancy พยายามเอาเรื่อง ERP เข้ามา ERP เป็น single database 1 system 1 database - database แทนที่ file
--------3. Data warehousing ไม่มีเป้าหมายที่แทนที่ database มาต่างกรรม ต่างวาระ ต่างวัตถุประสงค์
Human Resources System
* Human Resources Maintenance and Development
------------- Performance Evaluation การปฏิบัติงาน การเลื่อนขั้นเงินเดือน
------------- Training and Human Resources Development
* Human Resources Planning and Management
------------- Personal Planning การวางแผนอัตรากำลัง เช่น การทำ Core Competency ที่จะระบุว่าการทำงานในตำแหน่งนี้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง และคนที่ทำงานอยู่มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือยัง จุดประสงค์คือต้องการให้คนทำงานโดยมีคุณสมบัติที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์ Core Competency และคนที่ดำรงตำแหน่งนั้นอยู่ยังมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ให้ทำอย่างไรบ้าง
------------1) โยกย้ายไปอยู่ในสิ่งที่มันตรง เหมือนกับ Rotate ภายในที่ทำงานก่อน
------------2) Train ให้ตรงกับลักษณะงาน ลักษณะที่ต้องการ
---------------- Labor – Management Negotiations
---------------- Payroll and Employees’ records
---------------- Benefits Administration
---------------- Employee Relationship management
Integrating Functional Is
------------ในการตอบสนอง Transaction ขององค์กรตั้งแต่ Order, check Stock สินค้า, Check การส่งของ, Check credit, จัดของ, ส่งของ,ออก invoice, ออกใบเสร็จ, เก็บเงิน
------------ซึ่งไม่มีอุปสรรคว่าไม่มีความพร้อมในขั้นตอนใดๆทั้งสิ้น เร็วที่สุดที่เป็นไปได้ในระบวน Transacting ธรรมดาที่ไม่ได้ integrate เข้าหากัน ทุกคนมีระบบช่วยเพื่อตอบสนองเฉพาะหน้าที่ของตัวเอง แต่ไม่ได้มองว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร จะเห็นว่ากว่าวงจรจะวน loop เข้ามาได้ และหากบางขั้นตอนมีปัญหาก็จะต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ ทำอย่างไรให้กระบวนการนี้ พนักงานขายสามารถเข้าไป Check ใน Inventory ได้ ไป check ตารางส่งรถได้ และสามารถ Post ในจอเองได้ การ Integrate ต้องการ Concentration on business process และสิ่งที่เกิดคือ Data flow ในระหว่าง functional แทนที่ทุกฝ่ายจะต้องคอยเฝ้าโทรศัพท์ไว้คอยรับเพื่อให้บริการ โทรมาต้องมีคนรับเพื่อจะได้ตอบคำถามได้ตลอดเวลา ก็แค่เปิดหน้าจอ Check เองได้ ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายลดลง อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีคนนั่งเฝ้ารับโทรศัพท์ ทำให้เพิ่ม employees’ productivity และสิ่งที่ตามมาคือ Information sharing และ collaboration ส่งผลให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
------------สิ่งที่ต้องประสานงานกันในแต่ละ Function คือ information ทำอย่างไรให้ information เหล่านั้นสามารถ flow ไปได้ โดยไม่มีการก้าวก่ายกัน ฝ่ายการตลาดมีหน้าที่แค่ดูก็ดูแต่แก้ไขข้อมูลไม่ได้ อย่างดีก็แค่วางใบจองสินค้าเอาไว้ โดยไม่ต้องมานั่งเฝ้าเพราะอยู่ในระบบแล้ว ทุกหน่วยงานมีระบบสารสนเทศของตนอยู่แล้วที่เหลือคือการต่อให้ติด
------------โดยวิธีการที่จะทำให้เกิด Integrate ของ Information System คือ
------------1) เชื่อม applications เข้าหากัน เป็นเรื่องอย่างเพราะแต่ละระบบมีความแตกต่างกัน โดยต้องนำ Middleware เข้ามาจัดการเพื่อให้เกิด Integration
------------2) การปรับมาใช้เป็น Web service และintegrated suite ซึ่งเป็นการพัฒนาใหม่
------------3) การใช้ระบบ ERP
------------การ integrated ระหว่าง Front-office และ Back –office โดย Front-office คือระบบที่ให้บริการกับลูกค้า สามารถ interact กับลูกค้าทันที เช่น ระบบหน้า Counter ของธนาคาร ส่วนการทำงานที่ลูกค้าไม่เห็นอยู่หลังร้านคือ Back –office การ integrated ระหว่าง Front-office กับ Back –office เป็นเรื่องยากเพราะมาด้วยกลไกคนละส่วนกันแต่ก็มีบาง Vender ที่จะ offer ให้ Front-office และ Back –office integrated กัน Software ที่ใช้เพื่อให้เกิดการ integrate กันเรียกว่า Process-centric integration โดยเป็น solution ที่ได้รับการออกแบบ โดยการใช้ business process เป็นหลัก ไม่ได้ใช้ functional คือการ integration เกิดจากความเป็นแผนกฉันแผนกเธอมีมาก จึงทำให้ระยะเวลาในการทำงานระหว่างแผนกมากขึ้น โดยการใช้ business process เป็นมุมองแทนที่จะใช้ Middleware เพื่อให้ต่อกันติด ซึ่งก็จะมี Vender ให้บริการ โดย Capacity ของ Process-centric integration ได้แก่
------------- Online field sale ให้พนักงานขายออก field ได้ เป็น
------------web-based customer management application
------------- Service contracts
------------- Mobile sales and marketing
------------- Call center and telephony suite
------------- Internet commerce เช่น การรับ Order การ Payment บน
อินเตอร์เน็ต โดยมี ERP เป็น Back-office
------------- Business intelligence เป็นการวิเคราะห์ เช่น ลูกค้าเป็นอย่างไร
ทำไมถึงซื้อสินค้าของเรา ทำไมถึงไม่ซื้อสินค้าของเรา
หากในองค์กรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสบความสำเร็จ ในขณะที่อีกฝ่าย
หนึ่งตามไม่ทัน คือ ข้างหน้าไปแล้ว แต่ข้างหลังยังตามไม่ทัน ท้ายที่สุดแล้วก็จะไป
ดึงข้างหน้า ดังนั้นหากจะไปก็ต้องขยับไปด้วยกัน
สำหรับปัญหาของ Business Process คือการลอกกันไม่ได้เพราะ
รายละเอียดภายในของแต่ละองค์กรมีความแตกต่างกัน เช่น การนำ Balance
Scorecard มาใช้
Accounting and Finance Systems
------------Payroll, billing, cash management ยังเอามาใช้ด้านการวางแผนและจัดทำงบประมาณ งบประมาณเป็นผลมาจากการวางแผน ซึ่งต้องมีการวางแผนการตลาด วางแผนการผลิต วางแผนอะไรต่อมิอะไรมาก่อน และมา end up ที่บัญชีจึงจะรู้ว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ซึ่งปัญหาของผู้ที่ทำงบประมาณคือ เอกสารทำมาไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด จึงทำให้งบประมาณล่าช้าตาม ในปัจจุบัน Soft ware ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทและช่วยเหลือการทำงบประมาณค่อนข้างมาก
*Managing Financial Transactions
------------- Financial and Economic Forecasting
------------- Planning for Incoming Funds
------------- Budgeting
------------- Capital Budgeting
งบประมาณมี 2 ส่วน คือ งบลงทุนและงบดำเนินการ
*E-Commerce Applications of Financial Transaction
------------- Global stock exchanges and multiple currencies ซึ่งเราจะเห็นว่าทุกวันนี้การซื้อขายเปลี่ยนไปในตลาดหุ้นเมื่อก่อนเป็นการเคาะกระดาน ต่อมาเป็นกระดานอิเลคทรอนิกส์ ปัจจุบันอยู่ที่ไหนก็สามารถซื้อขายได้
------------- E-Bonds
------------- Factoring Online
------------- Electronic re-presentment of checks
------------- Electronic bill presentment and payments
*Virtual Close
*Expense Management Automation
*Investment Management
------------- Financial Analysis
------------- Access to financial and Economic Report
* การควบคุมและตรวจสอบ (Control and auditing)
------------- Budgetary Control and Auditing
------------- Financial Ratio Analysis
------------- Profitability Analysis and Cost Control
------------- Product Pricing
Customer relations
------------Innovative products and services, successful promotions, customization and customer service
------------การทำ customer profiles การวิเคราะห์ความชอบความต้องการของลูกค้า ถือเป็นระบบที่ค่อนข้างจะซับซ้อนพอสมควร พัฒนามาเพื่อจะรวบรวมข้อมูลจากลูกค้ามาวิเคราะห์ดูองค์ประกอบต่างๆ
ทำ Prospective customer lists and Marketing Databases แต่ไม่ใช่ข้อมูลลูกค้า เวลามีอะไรก็ไปขอซื้อแล้วก็ส่ง Brochure ส่งเอกสารไปให้ แน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณส่งไปมัน Prospect แน่ใจว่าสิ่งที่คุณได้มา database ตรงนั้นเป็นปัจจุบันและถูกต้องหรือไม่
------------Mass Customization ปัจจุบัน Customer prefer customize product มาตามความนิยม เป็นสิ่งที่คนมักคิดว่าตัวเราควรจะมีอะไรเด่นไม่เหมือนคนอื่นเขาบ้าง และหากคุณคิดว่าจะขายสินค้าที่เป็น Customize เพื่อตอบสนองความต้องการของการมีเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล คุณใช้เวลาผลิตนานไหม ถ้านานคุณจะรองรับลูกค้าได้เยอะไหม ถ้าไม่เยอะสินค้ามีราคาสูง ลูกค้าก็มีน้อยตาม ทำอย่างไรที่ราคาไม่มากและรับลูกค้าได้เยอะ ซึ่งก็คือการทำ Customize ให้เป็น Mass เช่น บริษัท Dell ที่ขายคอมพิวเตอร์ โดยวางระบบสารสนเทศที่เชื่อมตัวเองกับ Supplier เพื่อให้ข้อมูล check ได้ และสามารถสั่งซื้อของได้ เพราะการจะทำ Mass Customize ต้อง Practice เรื่องของ inventory What are in process in inventory factory? เพื่อให้ได้ reasonable price นั่นเอง
Personalization การทำให้เกิด Personalize ในเชิงการตลาด
------------สร้างความรู้สึกว่าตัวเรามีความสำคัญต่อองค์กร ในระบบสารสนเทศในเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบสารสนเทศ แล้วเอาข้อมูลที่ได้ไปใช้ Technology Offer Personalize ให้กับลูกค้า เช่น http://www.amazon.com%20%20ที่พอ login เข้าไปแล้วหน้าจอเว็บเป็นเหมือนหน้าจอของเรา ของที่เราชอบเช่นหนังสือเขาก็จะเตรียมไว้ให้ ซึ่งเอาข้อมูลเหล่านี้มาจากพฤติกรรมในการซื้อของเรา Advertising and Promotion โดยส่งมาทาง e-mail mails wireless and pervasive computing applications ซึ่งต้องระวังเรื่องของการสร้างความรำคาญด้วย
Planning Production/Operations
------------Manufacturing Resource Planning (MPR II)
เป็น Software บัญชี ขยายต่อจาก MRP เพราะเมื่อสั่งซื้อวัตถุดิบท้ายที่สุดแล้วจะ end up บัญชีต้นทุน (cash flow, labor, tools, equipment repair and energy)
------------Just – in Time Systems เป็นระบบที่พยายามจะ Minimize waste of all kinds (Space, labor, materials, energy etc.) and to continuously improve process and systems. และแนวคิด JIT คือการบริหารจัดการทุกๆ อย่างให้มีของเสียน้อยที่สุด ใช้ใน Mass customization และ build–to-order environment
------------Project Management ในโรงงานคือเพื่อควบคุมให้การดำเนินงานการผลิตเป็นไปตาม Line ของการผลิต
Work Management Systems (WMS)
------------เป็นระบบที่ automatically manages the prioritization and distribution of work เกี่ยวข้องกับการทำ resource allocation (จัดสรรทรัพยากรให้กับการทำกิจกรรมต่างๆ) และ reallocation
Computer-Integrated Manufacturing (CIM)
สนับสนุนระบบต่างๆในโรงงานให้ integrate เข้าหากันได้ โดยวัตถุประสงค์ของ CIM คือ
------------ 1) เพื่อให้เกิด Simplification ในเทคโนโลยีการผลิตและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ
------------ 2) มีความเป็น automation ในการทำงาน
------------ 3) มีความ integration and coordination เข้ากันได้ ประสานกันได้กับ Hard ware และ Software ต่างๆ ภายในโรงงาน
OLTP
------------การประมวลผลแบบออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน ระบบนั้นจะมี web base หรือไม่ไม่สำคัญ แต่องค์ประกอบต้องมี Network เป็นหลัก เช่น ธนาคาร ATM ออนไลน์แต่ไม่ใช่ web base ข้อมูลของคุณจะถูกปรับให้ทันสมัยในทันที ซึ่งเรียกว่า Online Transaction Processing System (OLTP) ซึ่งเกิดจากต้นทุนของระบบ Network ในปัจจุบันถูกลง ทำให้ต้นทุนในการได้มาซึ่งข้อมูลออนไลน์ถูกลงกว่าในอดีต OLTP ไม่จำเป็นต้องเป็น web base ส่วนขยายต่อ OLTP เรียกว่า Interactive Internet Transaction Processing เป็นความพยายามที่จะให้การทำงานในระบบ Transaction Processing เกิดขึ้นได้เร็ว interactive ระหว่างกันเร็วขึ้น
------------ในปัจจุบันมีร้านค้าที่ใช้ให้บริการในลักษณะ Multi-store chains form ซึ่งสามารถตรวจสอบข้อมูลซึ่งกันและกัน ทำให้ Transaction เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วขึ้น
Transaction processing system ในแต่ละ Functional
Managing Production/Operations & Logistics
เป็น TPS ที่อยู่ใน Production and Operations Management (POM) รับผิดชอบเกี่ยวกับการ Transform inputs into useful outputs ซึ่งการนำ TPS มาใช้ในแต่ละองค์กรค่อนข้างจะแตกต่างกันมากๆ เพราะลักษณะการผลิตไม่เหมือนกัน
------------หากองค์กรมีระบบ Supply Chain ที่ดี และ Link กับระบบ Logistics ตั้งแต่ Supplier นำ Raw Material เข้ามาส่งมีจำนวนพอเหมาะไม่ล้น Stock ซึ่งมาจาก Information System ที่ดี โดยคอยกำกับควบคุมและจัดการเส้นทางของการส่ง ดูถึงขนาดการจัดวางกล่องที่ส่งมาพร้อมกับรถบรรทุกเพื่อบรรทุกให้ได้มากที่สุดและเป็นไปตาม Spec
สำหรับการ Managing Production/Operations & Logistics มีการทำงานดังนี้

Transaction processing
หน้าที่หลักของ Transaction Processing system (TPS) คือ monitors, collects, stores, process และ disseminates information
คุณสมบัติของ Transaction processing system (TPS)
1) ข้อมูลต้องประมวลผลมาก แต่ไม่ได้แปลว่าในทุกๆ Transaction จะต้อง
ประมวลผลมากเหมือนกันทั้งหมด
2) แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่เป็นแหล่งข้อมูลภายใน สำหรับผู้ใช้ภายใน คุณสมบัติ
คือการเปลี่ยนแปลงในบางสิ่งบางอย่าง ตั้งแต่การค้าขายระหว่างผู้ร่วมค้า Contribute data เป็น
การใช้ out put จาก Transaction Processing โดยตรง แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่เป็นแหล่งข้อมูล
ภายในบางอย่างก็อาจจะไม่ใช่ เช่น “Call center” Out put ที่เกิดขึ้นไม่ได้แสดงว่าทำอยู่แต่ข้างในอย่างเดียว 100% Transaction Processing system (TPS) มี interact กับคนภายนอกด้วย โดยเฉพาะลูกค้า ในการสร้างศักยภาพทางการแข่งขันผู้ประกอบการจะต้องให้ความสำคัญกับ Transaction Processing system (TPS) เนื่องจากสามารถสร้างความประทับใจได้และไม่ได้ภายในเวลาเดียวกัน หากสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ ก็จะรักษาลูกค้าไว้ได้ แต่หากสร้างความประทับใจไม่ได้ ก็จะเสียว่าที่ลูกค้าไป
3) ข้อมูลที่เกิดขึ้นมากับ TPS จะถูกประมวลผลโดยมีเกณฑ์ประจำ เช่น
เงินรับประจำวัน รายรับประจำวัน รายได้ประจำวันจำแนก เป็นบัตรเครดิต เงินสด ซึ่งไม่ได้มีแค่เอกสารที่ออกมา เอกสารที่ออกมาจากระบบ TPS เช่น ถ้าขายของก็ต้องมีใบเสร็จรับเงินในกรณี Supermarket ต่างๆ แต่ถ้าเป็นธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) คุณอาจะยังไม่ออกใบเสร็จ ใบเสร็จจะกลายเป็น Transaction Process ของฝ่ายการเงิน ดังนั้นในจุดขายใบเสร็จจะออกเป็นใบส่งของ ใบกำกับการค้า เงินเดือน ภงด. Slip ใบส่งประกันสังคม เหล่านี้เราเรียกว่าเป็น Document เพราะออกมาเป็นใบๆ Per Transaction Out Put ที่ออกมี 2 แบบ แบบที่ 1 Per Transaction 1 Transaction ต้องออก 1 ชุด เช่น ใช้ ATM ถอนเงินก็ได้ใบเสร็จ 1 ใบ โอนเงินก็ได้ใบเสร็จ 1 ใบ ฝาก Check ก็ได้ใบเสร็จ 1 ใบ เหล่านี้เป็น Document ซึ่ง Document กลุ่มนี้เรียกว่า Action Document และแบบที่ 2 เรียกว่า Information Document คือ Document ที่ให้ information กับคนรับ เช่น ใบเสร็จรับเงิน ในขณะที่ Action Document เป็น Document ที่บอกให้คนรับรู้ว่าต้องทำ Action บางอย่าง เช่น คุณออก Invoice ให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าทำ Action มาจ่ายเงิน โดย Document ส่วนใหญ่จะออกไปกับคนข้างนอก
สำหรับ Out put ที่ออกมาอีกส่วนหนึ่งเราเรียกว่า Report เช่น รายงานยอดขายประจำวัน
4) ต้องการการประมวลผลที่รวดเร็ว เนื่องจาก Transaction ต้องรับ In Put เพื่อนำไปประมวลผล ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยแตกต่างกัน ทำให้เกิดการส่ง In Put เข้าไปในระบบแบบ Automatic คือการใช้ Bar code ใช้แถบแม่เหล็ก การหลีกเลี่ยงการ key ให้มากที่สุดเพื่อลดความความผิดพลาด ยิ่งระบบมีความเป็น Automatic มากเท่าไหร่ยิ่งลดความผิดพลาดมากเท่านั้น
5) ระบบ TPS หน้าที่โดยพื้นฐาน คือ Monitors และ Collect data (ทั้งข้อมูลในปัจจุบันและข้อมูลที่ผ่านมา)
6) In put และ Out put ข้อมูลมีความเป็นโครงสร้าง (Structure) สูง โดยทุกอย่างถูกกำหนดตายตัว เช่น การขายของ ข้อมูลที่ต้องออกในใบเสร็จต้องมีอะไรบ้าง หนึ่ง Transaction ต้องมีอะไรบ้าง โดยความเป็นโครงสร้างชัดเจนจะผันแปรไปตามความต้องการของผู้ประกอบการว่าอยากรู้อะไร เนื่องจากโครงสร้างมีความชัดเจนการประมวลผลจึงมีความคงที่ มีรูปแบบที่แน่นอนตามความต้องการของผู้ประกอบการ
7) Out put ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น Document หรือ Report มีรายละเอียดสูง เราจะไม่เจอการสรุป (Summarize) ที่อยู่ใน Transaction
8) การประมวลผลในระบบ TPS มักจะไม่มีอะไรที่ซับซ้อน เช่นการซื้อของในSupermarket ก็มีเพียงแค่การบวกกับการคูณเท่านั้นเอง
9) ข้อมูลต้องมีความถูกต้อง สมบูรณ์ และปลอดภัย ข้อมูลอ่อนไหวต่อความปลอดภัยเพราะรวมข้อมูลพื้นฐานที่เป็นทุกอย่างขององค์กร รวมทั้งลูกค้าที่อยู่กับ Transaction นั้นด้วย โดยเฉพาะธุรกิจทีมีการซื้อขาย และเกี่ยวข้องกับเงินๆทองๆ ความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ
10) ข้อมูลต้องมีความเชื่อถือได้สูง
11) การสืบค้นข้อมูล หรือ ระบบถาม – ตอบ เป็นสิ่งที่ต้องมี เช่น การสอบถามไปยังฝ่าย Stock ว่ามีสินค้าชนิดนี้มีเหลืออยู่หรือไม่ การขอดูยอดคงเหลือจากตู้ ATM โดยการจะ real time หรือไม่ขึ้นอยู่กับธุรกิจของกิจการ
Value Chain
Value Chain คือการมองกิจกรรมและจัดกลุ่มกิจกรรมออกเป็นประเภท เพื่อจะบอกว่าอะไรเป็นหัวใจหลัก อะไรเป็นส่วนสนับสนุน ภาพลักษณ์ที่ปรากฏกับการทำงานอยู่ในระดับ ปฏิบัติการขององค์กร ระบบสารสนเทศที่เข้ามาช่วยในการดำเนินการของกิจกรรมใน Value Chain นั้น จึงได้มากับ Transaction Processing
ในมุมมองของ Value Chain ทั้งใน Primary activities และ Support activities ความเป็น Functional area คืองานในแต่ละหน้าที่มีมุมมองของ Value Chain มากขึ้น ดังนั้นเวลาพูดถึง Functional area หรือ Functional ในตัวองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ถ้ามองตาม Value Chain แล้วก็คือกิจกรรม แต่หากนำมาสัมพันธ์กับโครงสร้างก็คือ Division แผนก ขององค์กร
ทำไมถึงต้องใช้ SOA
1) ความต้องการขององค์กร
องค์กรต้องการความเร็ว รับ Transaction ได้มาก และใช้เวลาในการพัฒนาระบบน้อย ซึ่งความต้องการดังกล่าว SOA ทำได้
2) คุณสมบัติของ SOA
จากคุณสมบัติของ SOA ที่ใช้ระบบ integrate โดย “reuse” และ “reconnect” ทำให้องค์กรไม่ต้องเสียเวลาพัฒนาระบบใหม่หรือสร้างใหม่ทั้งหมด เป็นการ plug-in จากสิ่งที่มีอยู่เดิม สร้าง Standard เพื่อทำให้เกิดการใช้งานใน Architect ใน platforms ที่ต่างกัน ทำให้สิ่งที่มีอยู่สามารถต่อยอดได้เร็วขึ้น SOA ตอบคำถามที่ Truecredit ต้องการได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Truecredit จึงเลือกใช้ SOA
CRM
CRM มีหลายแบบได้แก่
1.operational crm เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ Business function เช่น customer service, order management, invoice/billing, sales/marketing ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ
2.analytical crm เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับ capture, store, extract, process, interpret, customer data ข้อมูลของลูกค้าที่ได้มาต้องมีการบันทึก จัดเก็บ คัดแยก นำมา process และแปลผล
3.collaborative crm เป็นเรื่อง deal with all necessary communication ระหว่าง vendor และ customer
ประเภทของ CRM Applications
1.customer-facing เกี่ยวข้องกับลูกค้าสามารถติดต่อกับองค์กรได้อย่างทันที เช่น call center การทำ help-desk
2.customer-touching ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้งานเองได้ เช่น self service, campaign management
3.customer-centric intelligence เป็น analyze ผลของการทำoperation processing แล้วนำผลนั้นมา improve ตัว crm เช่น data warehouse, data mining
4.online networking สร้างโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การทำ webboard, chat room
ขอบเขตของการทำ E-CRM มี 3 ระดับ
1.foundational service เสนอบริการที่เป็น minimum necessary service ให้เท่าที่ต้องใช้ เช่น website
2.customer-centered services ในเรื่องของการ Order tracking เช่น fed-ex, การตรวจพัสดุ EMS
3.value-added services เป็น extra service เช่น การทำ online auction, online training, education
Customer service on the web คือการใช้ web ในการติดต่อลูกค้า ทำให้สามารถติดต่อกับลูกค้าได้อย่างเร็ว
-search and comparison capabilities
-free products and services
-technical and other information and service
-order product and service online ทำให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น
-letting customers track accounts or order status
-personalized web pages
-FAQs
-chat room
-e-mail and automated response
-call centers
-troubleshooting tools
-wireless CRM
สิ่งที่ทำให้ CRM fail ได้แก่
1.วัด benefit ยากและประเมินราคาไม่ค่อยได้
2.focus ผิดที่
3.ไม่มี IT สนับสนุนเพียงพอ
4.ลูกค้าไม่ยอมรับ
5.ทำ process ไม่ชัดเจน
ERP
-financial management
-inventory management
-scheduling
-order fulfillment
-cost control
-accounts payable and receivable
สิ่งสำคัญของ ERP คือ
ต้องมองภาพ business ของทั้งองค์กรให้ครอบคลุม ข้อมูลแต่ละเรื่อง flow อย่างไรบ้าง แต่ ERP ก็ยังไปมีส่วนที่ front-end ได้ เช่น POS, Field Sales, Service ต้องดูที่เราสนใจว่ามีอะไรบ้าง การใช้ ERP นั้นจะทำให้เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มคุณภาพสินค้า customer satisfaction และกำไร วัตถุประสงค์เลยคือการ integrate all department and functional information flow across a company onto a single system, single databaseกิจกรรมที่จะทำให้เกิดการ flow ระหว่าง functional
ERP ในปัจจุบันเรียกว่า extended erp ซึ่งสามารถ corporate ไปยัง external supplier and customer
ERP และ Supply Chain สามารถใช้ร่วมกันได้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพขององค์กร วัตถุประสงค์ของ supply chain คือ การ Manage flow ของ supply chain ทั้งหมด ในขณะที่ erp คือ integrate flow ที่อยู่ภายใน พื่อให้งานของเราไม่ว่าจะเป็น back-end หรือ front-end มันทำงานได้รวดเร็ว erp จะเน้นที่ specific business process
สิ่งที่คำนึงถึง ERP
1.แต่ละ module ถ้าเอามาแล้วมันให้อะไรกับเรา
2.ต้องกำหนด prioritie business requirement within a process and across the organization เพราะ erp ที่ซื้อมาสามารถปรับได้
3.ทุก Module อาจจะไม่ต้องลงพร้อมกันหมด ให้ดูช่วงเวา และความจำเป็นอะไรที่ต้องใช้ก่อนหลัง
การได้มาของ ERP
1.self-develop an integrated system นำระบบเดิมที่มีอยู่มา integrate แต่จะค่อนข้างยาก
2.ซื้อโปรแกรมเลย (new custom-built system)
3.การจ้างทำ (commercially integrated erp)
4.เช่า (lease from ASP)
ปัญหาของ ERP
1.erp ที่ซื้อมาอาจจะไม่เข้ากับ process การทำงานเดิมที่มีอยู่
2.erp’s standardized processes based on best practices
3.ถ้ามีการปรับก้ต้องเสียราคาหนึ่ง ถ้าไม่ปรับก็อีกราคา
4.ต้องทำความเข้าใจ business ตัวเองให้ได้ก่อนที่จะเลือก ERP vendor
สิ่งที่ทำให้ ERP ในองค์กรไม่ประสบผลสำเร็จ
1.ความคาดหวังที่ไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง
2.inability to map business processes
3.inaccurate data
4.failure to factor in hidden costs(ต้นทุนแอบแฝงทั้งหลาย)
ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มาติดตั้ง ERP
1.ต้องมีทีมงานที่ดูแลเรื่องนี้
2.ต้องจ้างที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญระบบ
3.set expectations and manage the project effectively
4.manage the change in organization
5.จัด infrastructure ที่จะมา support การเปลี่ยนแปลงนั้น
6.communicate to all interested parties ทุกนที่เกี่ยวข้องต้องมีการติดต่อสื่อสารที่ดี
E-commerce
เหตุผลที่นำ e-commerce เข้ามา
-ลดการใช้กระดาษ
-ไม่เอาโทรศัพท์ หรือแฟกส์ เข้ามาเป็นปัจจัย ซึ่งถูกแทนด้วย electronic
-enchances collaboration and information sharing
-การทำให้ตัว chain สั้นลง
-อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า
-เพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อและขาย
-faster, cheaper, and better communication collaboration โดยการใช้ information
บทบาทของ e-commerce ที่มีส่วนช่วยในการซื้อและขายตลอดของ supply chain ได้แก่
1.ในส่วนของ upstream improve โดยการใช้ e-procurement การประมูล หรือ bid โดยอีออกชั่น
2.ในส่วนของ internal ตั้งแต่เรื่องของการซื้อ วางคำสั่งซื้อ การบันทึกการขาย การ tracking สินค้า สามารถใช้ intranet เป็นตัวส่งข้อมูลได้
3.ในส่วนของ downstream ก็จะขยายขอบเขตในเรื่องการส่งสินค้า
4.ในเรื่องของการจ่ายชำระเงิน การตัดบัญชีธนาคาร
Benefit ของ supply chain ในส่วนที่วัดได้ เช่น
-ลด inventory เท่าไหร่
-ลดคนงานเท่าไหร่
-productivity เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
Supply chain
เป็น relationship ที่อยู่ระหว่าง suppliers, manufacturers ซึ่งก็คือการนำเข้าวัตถุดิบ พอผลิตเสร็จก็ส่งตัวแทนจำหน่าย และก็ไปยังร้านค้าปลีก เป็นระบบที่เอื้ออำนวยตั้งแต่การ transform วัตถุดิบ จนถึงตัวสินค้า ประเด้นอยู่ที่เวลาวัตถุดิบถูกส่งเข้ามามันต้องมี interaction ระหว่างคนที่จำหน่ายวัตถุดิบให้เรา แล้วก็ตัวเราคือผู้ผลิต หลังจากผลิตเสร็จเราก็ขายผ่านคนกลาง หรือขายตรง หรือทั้ง 2 อย่าง
ในการทำธุรกรรมพื้นฐานของการประกอบการนั้นจะมีมิติอยู่ 3 มิติ มี Flow ต่างๆ ได้แก่
material เพื่อให้ของรันได้จบตั้งแต่ต้นจนถึงปลายทางคือลูกค้า ซึ่งตลอดระยะทางต้องมีการติดต่อหลายแผนก เพื่อให้องค์กรเห็นภาพรวมได้ก็นำ information flow ไปตามตัวมัน ของเข้าที่โกดังครั้งแรกเป็น Material เช่นผลิตบะหมี่สำเร็จรูป ของเข้าครั้งแรกมาเป็นแป้ง แต่สุดท้ายออกไปเป็นห่อ หน่วยก็ถูกปรับเปลี่ยน ซึ่งจะมีเงินเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเรียกว่า Flow of money ใน supply chain จะประกอบไปด้วยหลายตัวธุรกิจ ตัวมันเองมองเสมือน single entity คือเมื่อนำระบบเข้ามาต่อกันมันก็เหมือน entity เดียวกัน ซึ่งจะประกอบไปด้วยกระบวนการขององค์กรที่ใช้ในการ develop คือทำให้ตัวสินค้าเกิดขึ้น การนำส่งสินค้า การนำส่งข่าวสาร และบริการไปยัง end customer เพราะฉะนั้น supply chain ไม่ได้เริ่มจาก supplier เข้าสู่องค์กร แต่เริ่มที่ supplier แต่ไปจบที่ customer
segment ของ supply chain ออกเป็น 3 ส่วน
1.upstream (ต้นน้ำ) นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นเป็น source ของการได้มาซึ่งการทำงาน ซึ่งจะเกี่ยวกับการจัดซื้อ จัดหา จัดจ้าง จาก Supplier เข้ามา
2.internal เริ่มตั้งแต่เมื่อวัตถุดิบเข้ามาสู่กระบวนการผลิต เติ่มต้นจากคลังวัตถุดิบไปจบยังคลังสินค้าสำเร็จรูป
3.downstream (ปลายน้ำ) เริ่มจากนำสินค้าสำเร็จรูปไปจำหน่ายสู่ distributor
เหตุผลที่เราต้องงดูทั้ง 3 เรื่องเพราะการประกอบการไม่ได้มีแค่ตัวเรา ซึ่งเราต้องมีคน supply ในเรื่องวัตถุดิบต่างๆ ทำให้เราตระหนักได้ถึงการประกอบการของเรา และต้องรู้ไปถึงปลายทางว่า ปลายทางของเราอยู่ตรงไหน
ต้องทำภาพของ supply chain ว่ามี upstream ตรงไหน internal เป็นอย่างไร และมี downstream ถึงไหน สิ่งที่ต้องทำคือการ manage flow ตั้งแต่ upstream ถึง downstream เพราะฉะนั้น supply chain management คือการ manage of the end to end ตั้งแต่ต้น จบ ปลาย อย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นด้วยการ design ของตัวสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ และจบที่สินค้านั้นถูกขาย หรือถูกบริโภค โดย end customer ต้อง define ให้ได้ว่า end customer คือใคร เพราะฉะนั้นใน 1 flow จะเกี่ยวกับ vendor, financial accounting transfers, warehouse, inventory, order fulfillment, การจัดส่งจัดจำหน่าย distributor และ information ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการบริหารจัดการ
กิจกรรมที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการทำ supply chain ได้แก่
-Inventory Management ทำยังไงให้ inventory มีปริมาณที่เหมาะสม
-Material acquisition การจัดซื้อจัดหา
-Transformation of raw materials into finished goods การเปลี่ยนจากวัตถุดิบเป็นสินค้าสำเร็จรูป
-Shipping จะจัดส่งอย่างไร
-Transportation ขนส่งแบบไหนให้สินค้าไปทันเวลา
ในการทำ Supply chain นั้นตัวเราคงไม่สามารถไปยุ่งกับ Upstream และ Downstream ได้ ต้องมีที่ internal คือกระบวนการในองค์กรที่จะใช้ในการ manage supply chain ตั้งแต่เรื่องการทำ inventory การจัดการเรื่องบัญชี เรื่องคลังสินค้า การจัดส่ง ซึ่งเหล่านี้เราสามารถควบคุมได้ ส่วนที่อยู่ภายนอกก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาสร้างความสัมพันธ์ เพราะเราไม่สามารถเข้าไป manage หรือสั่งการเองได้
Supply chain management software คือ software ที่เข้ามา support specific segment of supply chain เฉพาะช่วงที่ทำ internal ซึ่งจะมุ่งเน้นไปที่ improving decision making เพื่อ optimization and analysis ช่วยในการวิเคราะห์ บริหารจัดการในด้านต่างๆ
กรณีถ้าใช้ web-based ก็จะเป็น E-supply chain
Flow ที่เกิดขึ้นใน supply chain จะมี 3 flow
1.material flow คือ flow ของวัตถุดิบ ตั้งแต่นำเข้า ซึ่งจะมี reverse flow คือการส่งคืนวัตถุดิบ หรือได้รับวัตุดิบไม่พอ
2.information flow คือ ข้อมูลทุกอย่างที่ติดอยู่กับทุกกิจกรรมเริ่มตั้งแต่การสั่งซื้อ การขนส่ง การคืนสินค้า เป็นต้น
3.financial flow คือ ที่เกี่ยวกับเงิน เช่น การจ่ายเงินแบบธรรมดา หรือใช้ E-payment
เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ในการทำ supply chain คือ
1.พยายามลด uncertainty and risk ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
2.ลดจำนวนของ inventory ลง วงจรการผลิตสินค้า
3.ปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ
4.การบริการลูกค้าได้ดีขึ้น
5.ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
6.มีประสิทธิภาพในการ operate มี profitability and competitiveness ในการทำงานดีขึ้น
Scm model ได้แก่
1.การจัดการ inventory
2.การพยากรณ์ความต้องการ Forecasting
3.lead time ระหว่างเรากับ supplier
4.capacity ของการผลิต
5.ราคาสินค้า price
Supply chain จะมีผลต่อสภาพการแข่งขัน ศักยภาพในการแข่งขัน ถ้าเราสามารถเข้าไปดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ ก็จะเป็นการเพิ่ม value ของแต่ละช่วง แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นได้ถ้าเรามี complex or long chain ถ้าตั้งแต่ต้นจนจบยาวมาก ตัว upstream มีหลาย tier แสดงว่ามี complex สูง ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่าง
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นของ supply chain คือ
1.uncertainties ทั้งจาก supplier ส่งของไม่เป็นไปตามต้องการ ส่วนปลายทางการดูแลจัดการสินค้า ซึ่งอาศัยการประสานงาน
2.การทำ demand forecast เพราะเป็นจุดเริ่มต้นว่าจะขายสินค้าให้ใคร จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำให้ถูกต้อง แม่นยำ เพราะว่ามี uncertainties ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาพการแข่งขัน,ราคา,สภาพดินฟ้าอากาศ,เทคโลยีใหม่ๆ,ความเชื่อมั่นของลูกค้า
3.ยังมี uncertainties จากการดำเนินงานภายในเช่น เครื่องจักรเสีย มีปัญหาทางถนนไปส่งของไม่ได้ เป็นต้น
4.Quality problems คือคุณภาพของของที่ได้มา ได้ของช้าแถมคุณภาพยังไม่มีคุณภาพอีก
ปัญหาสำคัญของ supply chain เรียกว่า bullwhip effect
คือการ shifts in order up and down ในระหว่างตัว supply chain เกิดจากการไม่ประสานกันระหว่าง demand forecase, price fluctuation, order การเคลื่อนของ demand uncertainties เล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ตามมา รวมทั้ง distort information (ข้อมูลถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไป) ก็จะทำให้ inventory มากเกิน การให้บริการลูกค้าแย่ลง รายได้ลดลง การจัดส่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ การผลิตที่ไม่เป็นไปตามกำลังการผลิต ซึ่งต้องนำการจัดการข้อมูลมาใช้ โดยการทำ sharing information along the supply chain
Information ที่แชร์ระหว่าง supply chain supplier ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า collaboration supply chain ระหว่าง upstream กับ downstream ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหา flow ต่างๆ ได้
เช่น การกำหนด optimal inventory level, coordinate and collaboration ของ supply chain หรือสร้างทีมงาน supply chain ขึ้นมาช่วยวิเคราะห์ดูข้อมูล
Supply chain collaboration management ในทุกๆ องค์กรนั้นจะมี business partner ซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในการทำธุรกิจ information จึงเป็นสิ่งจำเป็นระหว่าง flow partner พวกนี้ แบบเบสิคยคือทำแบบ manual method เช่น การโทรศัพท์ แฟกส์ เมล แต่ถ้าให้เป็น electronic ขึ้นมาหน่อยก็จะมีการใช้ EDI เป็นเครือข่ายที่ทำให้เกิดการส่งข้อมูลต่อกัน ซึ่งจะมี function ต่างเข้ามาประกอบ ได้แก่
- partner profiles
- partner communications
- lead management
- target information distribution
- connecting the extended enterprise
- partner planning
- centralized forecasting
- group planning
- e-mail
- price lists
ถ้าที่ธุรกิจที่เราทำอยุ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ supplier หรือ customer ที่อยู่ข้ามประเทศ ระบบก็จะถูกเรียกว่า global supply chain ซึ่ง chain จะมีความยาว และ complex ยิ่งขึ้น และจะมีในเรื่องของกฎหมายต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สิ่งที่ทำให้ธุรกิจจะมุ่งไปยัง global คือ
1.แสวงหาวัตถุดิบ และแรงงานที่ถูก
2.วัตถุดิบบางอย่างไม่มีในประเทศเราเอง
3.firm’s global strategy
4.เทคโนโลยีที่มีอยู่ในต่างประเทศ
5.high quality of product
6.intensification of global competition
7.ต้องการ develop a foreign เพื่อ increase sale
8.fulfillment of counter trade
Enterprise Systems
ทำไมต้องมี integrated system
คือตัวระบบเดิมมันทำให้เกิดปัญหาอะไร เราจึงต้องแสวงหาตัว integrate ซึ่งปัญหาคือ การสรุปภาพต่างๆ ของธุรกิจโดยไม่มีข้อมูล หรือรายละเอียดเพียงพอที่อยู่ behind สิ่งเหล่านี้ ก็จะทำให้บทวิเคราะห์ยาก เนื่องจากสาขากระจาย และมีจำนวนสาขามาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องการคือการเชื่อมโยงกันของข้อมูล สิ่งที่องค์กรต้องการคือ ความถูกต้องของข้อมูลที่ถูกรวบรวมเข้ามา ซึ่งมันไม่สามารถทำได้เป็นอัตโนมัติ ทำให้ไม่มีงาน หรือข้อมูลที่เป็นอัตโนมัติ
การนำระบบใหม่เข้ามานั้นต้องจ่ายเงินเยอะ คุณคิดว่าจำเป็นมั้ยต้องซื้อ ควรจะซื้อเนื่องจากประโยชน์ของการได้ข้อมูล ถ้าข้อมูลที่ได้มีความถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็ว ก็จะทำให้องค์กรบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการตัดสินใจ ซึ่งการตัดสินใจที่ดีทำให้มีโอกาส และศักยภาพในการแข่งขัน การปรับเปลี่ยนรูปแบบในการให้บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตระหนักถึงปัญหาได้เร็วและทันเวลา การที่มีข้อมูลที่เร็ว และทันเวลาทำให้แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้เร็ว เพราะถ้าเกิดปัญหาแล้วไม่รีบแก้ไข ก็อาจจะเกิดผลเสียกับองค์กรได้ ซึ่งก็ต้องมีข้อมูลที่จะสะท้อนปัญหาออกมาให้เร็ว
จะเห็นได้ว่า integrated system มันใช่แค่ integrate แล้วออกมาแค่โปรดัก 1 ตัว ซึ่งสิ่งที่ตะอำนวยขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของเงิน ถ้าเงินยังไม่พร้อมเราก็อาจจะไม่ต้องซื้อทั้งหมด ค่อย enable ในสิ่งที่เราต้องการ เวลาคิดต้องดูเป็นภาพใหญ่ แล้วค่อยๆ ซื้อที่จำเป็นก่อน ระบบไหนที่ต้องมาก่อน integrate อะไรเข้าหาอะไร แล้วส่วนที่เหลือค่อยมาตามหลัง ตัวนี้เริ่มจาก TPS คือระบบแบบดั้งเดิม (Lepacy) ซึ่งจะมีปัญหาในการ integrate ระหว่างกัน integrated system เป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกใช้ระบบเดิมเลย ซึ่งอาจจะต้องนำไปใช้หลังบ้านแทน แล้วก็ import ข้อมูลตัวใหม่ในระหว่างที่ยังปรับเปลี่ยนตัวใหม่ไม่ได้เพราะมันแพง
Enterprise System
หมายถึงระบบหรือ process ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทั้งหมดขององค์กร หรืออาจจะไม่ได้ทั้งหมดแต่เป็นส่วนหลักๆ ในเรื่องของการเป็น enterprise system แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 3 กลุ่ม
1.Business System ประกอบไปด้วยกลุ่มที่ใช้ในระดับที่สูงขึ้น ระดับของการตัดสินใจ เริ่มตั้งแต่ Decision Support, KM, Intelligent System และ Business Intelligence
2.Supply Chain ประกอบด้วย MRP, Manufacturing Resource Planning, Supply Chain Management และ Enterprise Resource Planning ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในงานระดับปฏิบัติการ ในฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ integrate เข้าหากันมากกว่าที่จะส่งข้อมูลเพื่อตัดสินใจ
3.Process/Product System ประกอบด้วย Business Process Management, Product Life Cycle Management และ Customer Relationship Management พวกนี้สามารถ integrate เข้าหากันได้
ซึ่งองค์กรไม่จำเป็นต้องเลือกทุกตัวมาใช้งาน ต้องดูว่าองค์กรต้องการอะไร
วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
1.8.2 ช่วงเจริญเติบโต (Growth Stage)
1.8.3 ช่วงอิ่มตัว (Maturity Stage)
1.8.4 ช่วงลดลง (Decline Stage)
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
Information system FedEx & UPS
2. Ground บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ภายใน
3. จัดการข้อมูลทางการเงิน
4. Freight บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ทั่วโลกที่มีน้ำหนักมากกว่า 150 ปอนด์ สำหรับ FedEx
5. Freight บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ทั่วโลก ไม่จำกัดน้ำหนักขั้นต่ำ สำหรับ UPS
6. Custom Critical บริการขนส่งพิเศษ
7. Trade Networks อำนวยความสะดวกในการขนส่งพัสดุภัณฑ์ระหว่างประเทศ
8. Supply Chain Service จัดการพัสดุภัณฑ์ในการขนส่ง
9. Service ประสานงานทางการการตลาดและข้อมูล
2. เปรียบเทียบความแตกต่าง ของ FedEx และ UPS ในกรณีที่ส่งสินค้า
- น้ำหนักเท่ากัน = 3 กิโลกรัม
- ขนาดเท่ากัน = 30*30*30 เซนติเมตร
- วันเดียวกัน = 15 พฤศจิกายน 2551
- ส่งไปที่ Barton, 2600, Australia
** รายละเอียดตามขั้นตอนการทดลองส่งด้านล่าง
การจัดส่งพัสดุโดยบริการของ
1. FedEx จะมีความสะดวกและง่ายกว่า และยังสามารถเช็คสถานะการขนส่งได้เองจากทาง website ได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายสูง บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ทั่วโลกที่มีน้ำหนักมากกว่า 150 ปอนด์
2. UPS จะมีค่าจ่ายถูกและจัดส่งพัสดุถึงมือผู้รับได้เร็วกว่า (ส่งไปที่ Barton, 2600, Australia) บริการขนส่งพัสดุภัณฑ์ทั่วโลก ไม่จำกัดน้ำหนักขั้นต่ำ
สรุปข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ FedEx
การพัฒนาด้านเทคโนโลยีทำให้ FedEx สามารถรองรับลูกค้าที่มีรูปแบบการสั่งทุกรูปแบบ โดยเน้นความสะดวกในการให้ลูกค้าจะสั่งสินค้า track สินค้า และการควบคุมทาง process งบดุลของปี 2003 ถูกปิดรวมพร้อมกับทรัพย์สินรวม 15,000 ล้านเหรียญ และรายได้สุทธิรวมมากกว่า 830 ล้านเหรียญ จากรายได้รวมทั้งหมด กว่า 22,500 ล้านเหรียญ สามารถเห็นอัตราส่วนของการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน บริษัทมีรถบรรทุกประมาณ 50,000 คัน เครื่องบินอีก 625 ลำ และ พนักงานกว่า 216,500 คน ที่ช่วยกันส่งของ 5.4 ล้านชิ้นต่อวัน
สรุปข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับ UPS
ด้วยบริการที่สะดวกรวดเร็วและประหยัดไม่ว่าคุณจะต้องการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ไปยังที่ใดก็ตาม บริการ UPS Worldwide Expedited นั้นเป็นบริการที่ทั้งสะดวกรวดเร็วและเชื่อถือได้ เหมาะสมกับการจัดส่งพัสดุภัณฑ์ที่ไม่เร่งด่วนมากไปยังสหรัฐอเมริกา แคนาดาและประเทศที่เป็นศูนย์กลางการค้าพาณิชย์ที่สำคัญ ๆ ในทวีปเอเชีย ยุโรปและละตินอเมริกา แต่ละวัน UPS มีเที่ยวบินไปยังประเทศต่าง ๆ มากกว่า200 ประเทศทั่วโลก คิดเป็นเที่ยวบินวันละกว่า 2,000 เที่ยว ช่วยให้ลูกค้าของเราสามารถจัดส่งพัสดุภัณฑ์ต่าง ๆ โดยมีกำหนดเวลาแน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถติดตามตรวจสอบพัสดุที่จัดส่งได้ทุกนาที
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
การบ้าน Chapter 7
XBRL (eXtensible Business Reporting Language”) คือการติดรหัสแถบ (Bar Code) บนบัญชีงบการเงิน โดยการอ้างอิงถึงภาษามาตรฐานของการรายงานงบการเงิน (Financial Reporting Standards) แต่ไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบัญชี (Accounting Standards) แต่อย่างใด XBRL ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมการรายงานงบการเงินที่เริ่มมีการประยุกต์ใช้และกล่าวถึงในวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดในห่วงโซ่การจัดทำรายงานทางการเงินได้เล็งเห็นว่า XBRL จะทำให้เกิดมาตรฐาน (standards) ของการรายงานงบการเงินซึ่งจะนำไปสู่การลดต้นทุนรวมของทุกหน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง และยังช่วยสร้างความโปร่งใส ความถูกต้อง และความทันสมัยของข้อมูลงบการเงินที่เผยแพร่และนำเสนอให้แก่ผู้ใช้ข้อมูล หรือนักลงทุนได้ดียิ่งขึ้นสรุป
1. XBRL เป็น Version ของ XML สำหรับระบบสารสนเทศทางการเงิน ได้มีการนำ XBRL มาพัฒนารายงานให้กับ ธนาคารหรือหน่วยงานอื่น
2. XBRL (eXtensible Business Reporting Language) เป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ในการรายงานงบการเงินผ่านอินเตอร์เน็ทที่ใช้มาตรฐานและหลักปฏิบัติด้านการรายงานทางการเงินที่ได้รับการยอมรับเพื่อแปลรายงานทางการเงินให้เป็นข้อมูลที่นักลงทุนทุกประเภทสามารถเข้าถึงและนำมาวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจลงทุนได้ทันที
3. XBRL เป็นภาษามาตรฐานของการรายงานงบการเงิน (Financial Reporting Standards) แต่ไม่ใช่มาตรฐานการบัญชี (Accounting Standards) ดังนั้นการนำเอา XBRL มาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย จึงเป็นเพียงการจัดทำภาษาของรายงานงบการเงินให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐาน เพื่อให้สามารถนำงบการเงินมาเปรียบเทียบกันได้ทั้งในระดับองค์กร ระดับอุตสาหกรรม ระดับประเทศ และระดับสากลได้ โดยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการแก้ไขมาตรฐานบัญชีในประเทศไทยแต่อย่างใด
การบ้าน Chapter 6
GPS (Global Positioning System)
เป็นระบบใช้ แสดงตำแหน่งที่อยู่ ที่แน่นอนว่าอยู่ ณ. ตำแหน่งใด บนพื้นโลกได้ทุกเวลา ทุกสภาพอากาศ ระบบนี้มีดาวเทียม 24 ดวง หมุนอยู่รอบโลก อยู่สูงขึ้นไป 11,000 nautical miles หรือประมาณ 20,200 kms. จากพื้นโลก ดาวเทียมเหล่านี้จะคอยส่งสัญญาณให้กับเครื่องลูกข่าย เพื่อบอกพิกัด ตำแหน่ง บนผิวโลกได้ตลอด 24 ชั่วโมง
GIS (Geographic Information Systems )
คือ ระบบเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่ และเชื่อมโยงและผสมผสานข้อมูลทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย ที่เก็บไว้ในฐานข้อมูล สามารถดัดแปลงแก้ไขและวิเคราะห์ และแสดงผลการวิเคราะห์ และการนำเสนอข้อมูล เพื่อให้เห็นมิติและความสัมพันธ์ด้านพื้นที่ของข้อมูล ซึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดความเข้าใจปัญหา และประกอบการตัดสินใจในการปัญหาเกี่ยวกับการวางแผนการใช้ทรัพยากรเชิงพื้นที่
GIS ส้มพันธ์กับ GPS
ตรงที่ เนื่องจากในปัจจุบัน เทคโนโลยี GIS มาประยุกต์ใช้กับระบบงานด้านต่างๆ ได้แก่ SYMAP, GRID และ IMGRID ซึ่งสามารถใช้ในการซ้อนทับข้อมูลแผนที่ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีการทำด้วยมือ นอกจากนี้ระบบเหล่านั้นยังสามารถดัดแปลงมาใช้ในการจัดเก็บและจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ ทำให้นักวางแผนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่นระบบงานการวางแผนการจัดเก็บภาษี ระบบงานการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสม ระบบงานวิจัยด้านประชากรศาสตร์ ระบบงานวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ สำหรับในประเทศไทยเองก็มีการใช้งาน GIS หลายหน่วยงาน เช่น กรมแผนที่ทหาร องค์การโทรศัพท์ การไฟฟ้าฯ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงหน่วยงานเอกชนต่างๆที่เกี่ยวข้อง และมีการเรียนการสอนในสาขาวิชา GIS ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศอีกด้วย
ชีวิตใกล้ถึงวันสอบ
ใกล้ถึงวันสอบแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาอ่านหนังสือเลย - -"
....อย่างที่เค้าว่ากันว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย...คงเป็นอย่างที่เค้าว่าเพราะ
สอบทีไรก็มาอ่านเอา 2-3 วัน ก่อนสอบทุกที :) นิดหนึ่ง
ไม่เข้าใจ มันมาเป็นช่วงๆๆอยู่นะ คือ ช่วงยุ่งม๊ากมาก กับอยู่มาก - -"
(อย่างช่วงนี้รู้สึกว่า .... งานจะเข้า )